หลวงปู่นอง ธัมมโชโต
หลวงปู่นอง ธัมมโชโต วัดวังศรีทอง อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว
อดีตพระเอกลิเกประจำคณะหอมหวล เป็นหลานชายแท้ ๆ และศิษย์ของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ เป็นศิษย์หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา จ.ลพบุรี และเป็นศิษย์ผู้น้องของหลวงพ่อโอภาสี ปัจจุบันท่านมีอายุ 89 ปี (พ.ศ. 2552) ผ่านการฝึกฝนภาวนาสร้างสมาธิจนมีพลังจิตแก่กล้ามีศีลาจารวัตรบริสุทธิ์ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีเมตตาบารมี เป็นที่เคารพกราบไว้ของสานุศิษย์ตลอดมา
สานุศิษย์ดาราตลกที่เคยแวะเวียนไปลงแป้ง ลงนะหน้าทองกับหลวงปู่นองก็มีโน้ต เชิญยิ้ม, เท่ง เถิดเทิง ฯลฯ
ชาติภูมิ
ท่านเกิดเมื่อพุทธศักราช 2463 เป็นคนพื้นเพจังหวัดลพบุรี โยมบิดามารดาชื่อนายช่วง และนางกลาย ปัจจะชัย มีพี่น้องรวม 8 คน หลวงปู่นองเป็นบุตคนสุดท้อง โยมบิดามารดามีอาชีพรับจ้างเลี้ยงช้าง โยมมารดามีศักดิ์เป็นน้องสาวของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ บิดาได้นำเด็กชายนองมาฝากไว้กับหลวงลุง คือหลวงพ่อเดิมเป็นผู้ดูแล...
หลวงพ่อเดิมได้ให้เด็กชายนองบรรพชาเป็นสามเณรและอยู่ศึกษาสรรพวิชาต่าง ๆ กับหลวงพ่อเดิม ที่จังหวัดนครสวรรค์ตั้งแต่อายุได้ 12 ปี ราวพุทธศักราช 2475
หลวงพ่อเดิมเริ่มต้นถ่ายทอดพระธรรมวินัยศาสตร์พิธีกรรมต่าง ๆ เช่น หัดให้สวด 7 ตำนาน สวดธรรมจักร เรียนคัมภีร์มหาพุทธาคม ได้แก่เขียนและลบผงอิทธิเจ ปัถมัง มหาราช ตรีนิสิงเห เขียนอักขระเลขยันต์ นะ 108 คาถาหัวใจ 108 คาถาอาคมทางคงกระพัน แคล้วคลาด เมตตามหานิยม การสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ด้วยงาช้าง กระดูกช้าง การทำมีดหมอ ให้กับสามเณรนองหลานชายของท่าน ท่านคอยดูแลและแนะนำสามเณรนองมาโดยตลอด แม้เวลาที่หลวงพ่อเดิมไปปฏิบัติพระกรรมฐานในป่าเป็นเวลานาน ๆ ท่านก็จะบอกให้สามเณรนองตามไปด้วย และหลวงพ่อเดิมยังสักยันต์ “นะเมตตา” ให้เณรหลานชายด้วยตัวท่านเอง เป็นประจักษ์พยานติดตัวมาถึงปัจจุบัน
เมื่อเรียนอยู่ได้ 8 ปี สำเร็จวิชาต่าง ๆ มากมาย สามเณรนองจึงขอไปเยี่ยมโยมบิดามารดา ไต่ถามทุกข์สุขและโปรดโยมบิดามารดารวมถึงญาติพี่น้องก่อนออกเดินธุดงค์มุ่งสร้างความแกร่งกล้าทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงแสวงหาความสงบวิเวกตามป่าเขายังจังหวัดต่าง ๆ เช่น ถ้ำกระบอก ลำพูน เชียงใหม่ เชียงราย ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ได้ศึกษาเวทมนต์กับพระครูเทวะ พระอาจารย์จอมขมังเวทย์ชาวเขมร
ในระหว่างการเดินทางด้วยเท้าเปล่า ผ่านป่า ผ่านทุ่ง ผ่านภูเขา ผ่านความยากลำบากนานาประการ พระนองได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนวิชาเพิ่มเติมกับพระธุดงค์อีกหลายรูป แล้วท่านก็ออกเดินทางแสวงหาวิชาต่อไป
ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา
ท่านมุ่งหน้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ที่กำลังโด่งดังมากในสมัยนั้น เรื่องนี้ คุณลุงปถม อาจสาคร ปราชญ์ด้านงานเขียนเรื่องพระคณาจารย์และวิทยาคมได้สันนิษฐานว่า หลวงพ่อกบคือหนึ่งในห้าของคณะสงฆ์โลกอุดร ที่มี 1.หลวงปู่ใหญ่ 2.หลวงปู่ตีนโต 3.หลวงปู่โพรงโพธิ์ 4.หลวงพ่อกบ เขาสาลิกา และ 5.หลวงพ่อโอภาสี(ขรัวขี้เถ้า)
หลวงพ่อกบเป็นพระผู้ทรงอภิญญา ดำรงชีวิตแบบเหนือโลก เคยสำแดงปาฏิหาริย์แปลก ๆ ให้ศิษย์ชมหลายครั้ง เช่น ช่วงเช้าเดินบิณฑบาตไปโปรดญาติโยมในกรุงเทพฯ แต่สามารถกลับไปฉันตอนเช้าที่วัดเขาสาลิกาได้ในพริบตาอย่างน่าอัศจรรย์ มีลูกษิย์ในสมัยนั้นยืนยันกันหลายคน หลวงพ่อกบยังมีญาณหยั่งรู้อดีต – ปัจจุบัน – อนาคต ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
ณ เขาสาลิกาแห่งนี้ท่านได้ศึกษาวิชาต่าง ๆ จากหลวงพ่อกบ พระผู้ทรงอภิญญาเหนือโลก (โลกอุดร) เช่น วิชาการเดินธาตุต่าง ๆ วิชากสิณไฟ การห้ามลมห้ามฝน คัมภีร์ตำรับพระฤาษี คัมภีร์นิมิตเปิดตาที่สามและคัมภีร์โอมวิติตรี
ได้ดีเพราะมีอาจารย์ชื่อ “หลวงพ่อโอภาสี”
เมื่อเรียนวิชาจากหลวงพ่อกบแล้วก็มุ่งหน้ามาศึกษาและแลกเปลี่ยนวิชาเพิ่มเติมกับหลวงพ่อโอภาสี พระทรงอภิญญาผู้เป็นศิษย์หลวงพ่อกบเช่นกัน ที่อาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี ได้อยู่ศึกษาพระกรรมฐาน, คัมภีร์มูลกัจจายน์ และอยู่ปฏิบัติธรรมที่อาศรมบางมดระยะหนึ่ง จนสำเร็จวิชาตามที่ตั้งใจศึกษา
สำหรับหลวงพ่อโอภาสีนี้มีวัตรปฏิบัติไม่เหมือนพระภิกษุธรรมดาทั่วไป เพราะชอบทำอะไรเป็นปริศนาธรรมเสมอ เช่น การเผาสิ่งของอามิสบูชาต่าง ๆ ที่คนนำมาถวาย แสดงถึงการไม่สะสมทรัพย์สินทางโลก และการแผดเผากิเลสทั้งปวง
หลวงพ่อโอภาสีมักพูดเสมอว่า “การที่อาตมาได้เผาสิ่งของอันมีค่าสำหรับท่านทั้งหลายนี้ ก็เพื่อจะให้ท่านทั้งหลายได้ทำใจให้เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ไม่หวงแหน เพราะสมบัตินอกกายทั้งหลาย เมื่อมอดไหม้ไปแล้วก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่จีรังยั่งยืน
เป็นทหารเสนารักษ์ กองทัพอากาศ
ทั้งหมดที่เล่าเรียนมาเป็นช่วงขณะที่สามนองยังไม่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ยังเป็นเพียงสามเณรถือศีล 10 เท่านั้น ตอมาก็สึกจากสามเณรเพื่อไปเป็นทหารเกณฑ์รับใช้ชาติตามหน้าที่ของชายไทย โดยเป็นทหารอากาศ สังกัดกองพันเสนารักษ์ เป็นเวลา 2 ปี
หลวงพ่อโอภาสีเป็นพระอุปัชฌาย์
พอปลดประจำการก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุต่อทันที โดยมีพระมหาชวนหรือหลวงพ่อโอภาสีเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชได้ 4 พรรษา ก็ลาสิกขาบทมาเป็นพระเอกลิเกประจำคณะหอมหวล ซึ่งโด่งดังมากในยุคก่อน
ท่านนองกลายเป็นขวัญใจของแม่ยกในทันที สุดท้ายก็ได้แต่งงานมีครอบครัว มีภรรยาและบุตรหลายคน ในระหว่างนั้นมีสาว ๆ ทั่วไปมาติดพันมากมาย บางคนก็นำตำราโหราศาสตร์มาให้โดยเสน่หา ท่านจึงได้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์เพิ่มเติมเพื่อประกอบเข้ากับวิชาพุทธาคมที่มีอยู่
อุปสมบทครั้งที่ 2
ต่อมาท่านเองก็เกิดความเบื่อหน่ายทางโลกเพราะผ่านชีวิตมาทุกรูปแบบแล้ว มองเห็นว่าเรื่องทางโลกนั้นไม่จีรังยั่งยืน จึงหวนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เป็นครั้งที่ 2 และคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะว่าคงไม่มีครั้งที่ 3 เนื่องจากโบราณถือว่า ถ้าเป็นชายสามโบสถ์แล้วจะไม่ดีนั่นเอง
เมื่ออุปสมบทครั้งที่ 2 แล้ว ก็ได้กลับมาปรนนิบัติรับใช้หลวงลุง(หลวงพ่อเดิม) ที่จังหวัดนครสวรรค์จบจนกระทั่งหลวงพ่อเดิมมรณภาพในปี 2494 หลวงปู่นองจึงย้ายมาจำพรราที่วัดวังศรีทอง อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว ตราบถึงปัจจุบัน(สมัยนั้นจังหวัดสระแก้วเป็นเพียงอำเภอหนึ่งของจังหวัดปราจีนบุรี)
หลวงพ่อเดิมถ่ายทอดวิชา “สร้างชนวนรัตนโลหะ”
ในช่วงที่หลวงปู่นองได้กลับมาปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อเดิมนั้น หลวงปู่นองได้รับถ่ายทอดวิชาการเล่นแร่แปรธาตุแขนงหนึ่ง นั่นคือวิชาผสมสร้างชนวนโลหะพิเศษ ที่เรียกว่า “ชนวนรัตนโลหะ” ที่มีความอาถรรพ์สูงและศักสิทธิ์ไม่แพ้ชนวนธาตุอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสูตรการลงอักขระเลขยันต์ การเดินธาตุปลุกเสก และการผสมชนวนรัตนโลหะครบถ้วนตามตำรา
โดยวัตถุมงคลเนื้อรัตนโลหะที่ท่านสร้างออกมาในช่วงปี 2550 – 2552 นั้นผสมชนวนฝาบาตรเดิม ๆ ของหลวงพ่อเดิมหลายแผ่นที่ท่านเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี มีอานุภาพเสริมดวงชะตา เสริมวาสนาบารมี มีโชคลาภร่ำรวย กันและแก้อาถรรพ์ได้อย่างชะงัด
ครูบาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา
ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน และพระเวทวิทยาคมจากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ หลายท่าน
1.หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ ถ่ายทอดพระธรรมวินัย, ศาสตร์และพิธีกรรมต่าง ๆ , วิชาอาคมพื้นฐานในคัมภีร์ทั้ง 5 , วิชาสร้างชนวนรัตนโลหะอันศักดิ์สิทธิ์, การลงทองพระเจ้าสิบทิศ
2.หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา จ.ลพบุรี ถ่ายทอดวิชาการเดินธาตุต่าง ๆ ,วิชากสิณไฟ, การห้ามลมห้ามฝน, คัมภีร์ตำรับพระฤาษี, คัมภีร์นิมิตเปิดตาที่สาม, คัมภีร์โอมวิติตรี
3.หลวงพ่อโอภาสี (มหาชวน) สำนักสงฆ์โอภาสี บางมด กรุงเทพฯ ถ่ายทอดวิชาวิปัสสนากรรมฐาน, คัมภีร์มูลกัจจายน์
4.พระครูเทวะ พระอาจารย์จอมขมังเวทชาวเขมร
เป็นสหมิกกับหลวงพ่อกวย
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม เป็นสหธรรมิกที่สำคัญของหลวงปู่นอง เพราะคุ้นเคยกันตั้งแต่สมัยเล่าเรียนวิชาอยู่กับหลวงพ่อเดิมมาด้วยกัน ทั้งยังเคยปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกันเพียง 2 รูป เพื่อนำไปบรรจุกรุที่วัดหนองปลาดุก จ.ชัยนาท โดยหลวงพ่อกวยเป็นฝ่ายนิมนต์หลวงปู่นองมาร่วมปลุกเสกพระพิมพ์เพื่อสืบต่ออายุพระศาสนา แสดงว่าหลวงพ่อกวยย่อมเล็งเห็นพลังพระเวทวิทยาคมในตัวของหลวงปู่นองว่ามีความเข้มขลังเพียงใด...
เชี่ยวชาญกสิณไฟ
วิชากสิณไฟนี้หลวงปู่นองมีความชำนาญเป็นพิเศษ ทรงอิทธิคุณทางขับไล่สิ่งอาถรรพ์ชั่วร้าย เสริมสิริมงคล เสริมดวงชะตา นำพาซึ่งโชคลาภ วาสนาบารมี วัตถุมงคลที่ท่านประจุวิชากสิณไฟจนโด่งดังคือ เศียรฤาษีตาไฟ มีทั้งเนื้อโลหะ เนื้อผงว่านสีน้ำตาล – แดง – ขาว – ก้นครก, ตะกรุดตรึงไตรภพ, ตะกรุดพระเจ้าสิบทิศ, ตะกรุดหนังเสือ, ตะกรุดเมตตา – มหานิยม, การลงนะหน้าทอง, การเป่ากระหม่อมหรือลงทองพระเจ้าสิบทิศ อันเป็นวิชาที่หลวงพ่อเดิมใช้อยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ก็มีวิชาเสกแป้งอิทธิเจ, แป้งเสกเทวดา ลงหัวใจพระลักษณ์หน้าทอง, สาลิกาลิ้นทอง
คมวาทะหลวงปู่นอง
“ถ้าจะลง ต้องทำให้เขาครบ ๆ นะ เพราะเขาจะได้เป็นมงคล ไปไหนมีเทพเทวาอุ้มชู ผู้คนรักใคร่เอ็นดูเขาไปทางไหนจะได้ไม่เจ็บ..ไม่จน”
“วัตถุมงคลนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้ศรัพทธาประกอบกัน หากเรามีวัตถุแต่ไม่ศรัทธาใส่ใจ มีแล้ววางไว้บนหิ้งเฉย ๆ ไม่กราบไหว้ไม่ทำความเคารพตามสมควร ก็จะไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ สู้อย่าไปบูชาให้เสียเงินเสียเวลาเลย
เมื่อเรานำวัตถุมงคลเข้าบ้านแล้ว ให้ทำการรับ อย่างน้อยก็ซื้อพวงมาลัย ดอกไม้ มากราบไหว้ ท่องพระคาถาบูชา อาราธนาขอพรจากเขา จะให้ช่วยกิจการเรื่องใดก็อธิษฐานบอกไป เรื่องยากก็กลายเป็นเรื่องง่าย และเป็นมงคลสัมฤทธิ์ผลดีในทุก ๆ อย่าง”
ชาติภูมิ
ท่านเกิดเมื่อพุทธศักราช 2463 เป็นคนพื้นเพจังหวัดลพบุรี โยมบิดามารดาชื่อนายช่วง และนางกลาย ปัจจะชัย มีพี่น้องรวม 8 คน หลวงปู่นองเป็นบุตคนสุดท้อง โยมบิดามารดามีอาชีพรับจ้างเลี้ยงช้าง โยมมารดามีศักดิ์เป็นน้องสาวของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ บิดาได้นำเด็กชายนองมาฝากไว้กับหลวงลุง คือหลวงพ่อเดิมเป็นผู้ดูแล...
หลวงพ่อเดิมได้ให้เด็กชายนองบรรพชาเป็นสามเณรและอยู่ศึกษาสรรพวิชาต่าง ๆ กับหลวงพ่อเดิม ที่จังหวัดนครสวรรค์ตั้งแต่อายุได้ 12 ปี ราวพุทธศักราช 2475
หลวงพ่อเดิมเริ่มต้นถ่ายทอดพระธรรมวินัยศาสตร์พิธีกรรมต่าง ๆ เช่น หัดให้สวด 7 ตำนาน สวดธรรมจักร เรียนคัมภีร์มหาพุทธาคม ได้แก่เขียนและลบผงอิทธิเจ ปัถมัง มหาราช ตรีนิสิงเห เขียนอักขระเลขยันต์ นะ 108 คาถาหัวใจ 108 คาถาอาคมทางคงกระพัน แคล้วคลาด เมตตามหานิยม การสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ ด้วยงาช้าง กระดูกช้าง การทำมีดหมอ ให้กับสามเณรนองหลานชายของท่าน ท่านคอยดูแลและแนะนำสามเณรนองมาโดยตลอด แม้เวลาที่หลวงพ่อเดิมไปปฏิบัติพระกรรมฐานในป่าเป็นเวลานาน ๆ ท่านก็จะบอกให้สามเณรนองตามไปด้วย และหลวงพ่อเดิมยังสักยันต์ “นะเมตตา” ให้เณรหลานชายด้วยตัวท่านเอง เป็นประจักษ์พยานติดตัวมาถึงปัจจุบัน
เมื่อเรียนอยู่ได้ 8 ปี สำเร็จวิชาต่าง ๆ มากมาย สามเณรนองจึงขอไปเยี่ยมโยมบิดามารดา ไต่ถามทุกข์สุขและโปรดโยมบิดามารดารวมถึงญาติพี่น้องก่อนออกเดินธุดงค์มุ่งสร้างความแกร่งกล้าทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงแสวงหาความสงบวิเวกตามป่าเขายังจังหวัดต่าง ๆ เช่น ถ้ำกระบอก ลำพูน เชียงใหม่ เชียงราย ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ได้ศึกษาเวทมนต์กับพระครูเทวะ พระอาจารย์จอมขมังเวทย์ชาวเขมร
ในระหว่างการเดินทางด้วยเท้าเปล่า ผ่านป่า ผ่านทุ่ง ผ่านภูเขา ผ่านความยากลำบากนานาประการ พระนองได้ศึกษาและแลกเปลี่ยนวิชาเพิ่มเติมกับพระธุดงค์อีกหลายรูป แล้วท่านก็ออกเดินทางแสวงหาวิชาต่อไป
ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา
ท่านมุ่งหน้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ที่กำลังโด่งดังมากในสมัยนั้น เรื่องนี้ คุณลุงปถม อาจสาคร ปราชญ์ด้านงานเขียนเรื่องพระคณาจารย์และวิทยาคมได้สันนิษฐานว่า หลวงพ่อกบคือหนึ่งในห้าของคณะสงฆ์โลกอุดร ที่มี 1.หลวงปู่ใหญ่ 2.หลวงปู่ตีนโต 3.หลวงปู่โพรงโพธิ์ 4.หลวงพ่อกบ เขาสาลิกา และ 5.หลวงพ่อโอภาสี(ขรัวขี้เถ้า)
หลวงพ่อกบเป็นพระผู้ทรงอภิญญา ดำรงชีวิตแบบเหนือโลก เคยสำแดงปาฏิหาริย์แปลก ๆ ให้ศิษย์ชมหลายครั้ง เช่น ช่วงเช้าเดินบิณฑบาตไปโปรดญาติโยมในกรุงเทพฯ แต่สามารถกลับไปฉันตอนเช้าที่วัดเขาสาลิกาได้ในพริบตาอย่างน่าอัศจรรย์ มีลูกษิย์ในสมัยนั้นยืนยันกันหลายคน หลวงพ่อกบยังมีญาณหยั่งรู้อดีต – ปัจจุบัน – อนาคต ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
ณ เขาสาลิกาแห่งนี้ท่านได้ศึกษาวิชาต่าง ๆ จากหลวงพ่อกบ พระผู้ทรงอภิญญาเหนือโลก (โลกอุดร) เช่น วิชาการเดินธาตุต่าง ๆ วิชากสิณไฟ การห้ามลมห้ามฝน คัมภีร์ตำรับพระฤาษี คัมภีร์นิมิตเปิดตาที่สามและคัมภีร์โอมวิติตรี
ได้ดีเพราะมีอาจารย์ชื่อ “หลวงพ่อโอภาสี”
เมื่อเรียนวิชาจากหลวงพ่อกบแล้วก็มุ่งหน้ามาศึกษาและแลกเปลี่ยนวิชาเพิ่มเติมกับหลวงพ่อโอภาสี พระทรงอภิญญาผู้เป็นศิษย์หลวงพ่อกบเช่นกัน ที่อาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี ได้อยู่ศึกษาพระกรรมฐาน, คัมภีร์มูลกัจจายน์ และอยู่ปฏิบัติธรรมที่อาศรมบางมดระยะหนึ่ง จนสำเร็จวิชาตามที่ตั้งใจศึกษา
สำหรับหลวงพ่อโอภาสีนี้มีวัตรปฏิบัติไม่เหมือนพระภิกษุธรรมดาทั่วไป เพราะชอบทำอะไรเป็นปริศนาธรรมเสมอ เช่น การเผาสิ่งของอามิสบูชาต่าง ๆ ที่คนนำมาถวาย แสดงถึงการไม่สะสมทรัพย์สินทางโลก และการแผดเผากิเลสทั้งปวง
หลวงพ่อโอภาสีมักพูดเสมอว่า “การที่อาตมาได้เผาสิ่งของอันมีค่าสำหรับท่านทั้งหลายนี้ ก็เพื่อจะให้ท่านทั้งหลายได้ทำใจให้เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ไม่หวงแหน เพราะสมบัตินอกกายทั้งหลาย เมื่อมอดไหม้ไปแล้วก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่จีรังยั่งยืน
เป็นทหารเสนารักษ์ กองทัพอากาศ
ทั้งหมดที่เล่าเรียนมาเป็นช่วงขณะที่สามนองยังไม่ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ยังเป็นเพียงสามเณรถือศีล 10 เท่านั้น ตอมาก็สึกจากสามเณรเพื่อไปเป็นทหารเกณฑ์รับใช้ชาติตามหน้าที่ของชายไทย โดยเป็นทหารอากาศ สังกัดกองพันเสนารักษ์ เป็นเวลา 2 ปี
หลวงพ่อโอภาสีเป็นพระอุปัชฌาย์
พอปลดประจำการก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุต่อทันที โดยมีพระมหาชวนหรือหลวงพ่อโอภาสีเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชได้ 4 พรรษา ก็ลาสิกขาบทมาเป็นพระเอกลิเกประจำคณะหอมหวล ซึ่งโด่งดังมากในยุคก่อน
ท่านนองกลายเป็นขวัญใจของแม่ยกในทันที สุดท้ายก็ได้แต่งงานมีครอบครัว มีภรรยาและบุตรหลายคน ในระหว่างนั้นมีสาว ๆ ทั่วไปมาติดพันมากมาย บางคนก็นำตำราโหราศาสตร์มาให้โดยเสน่หา ท่านจึงได้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์เพิ่มเติมเพื่อประกอบเข้ากับวิชาพุทธาคมที่มีอยู่
อุปสมบทครั้งที่ 2
ต่อมาท่านเองก็เกิดความเบื่อหน่ายทางโลกเพราะผ่านชีวิตมาทุกรูปแบบแล้ว มองเห็นว่าเรื่องทางโลกนั้นไม่จีรังยั่งยืน จึงหวนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เป็นครั้งที่ 2 และคงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะว่าคงไม่มีครั้งที่ 3 เนื่องจากโบราณถือว่า ถ้าเป็นชายสามโบสถ์แล้วจะไม่ดีนั่นเอง
เมื่ออุปสมบทครั้งที่ 2 แล้ว ก็ได้กลับมาปรนนิบัติรับใช้หลวงลุง(หลวงพ่อเดิม) ที่จังหวัดนครสวรรค์จบจนกระทั่งหลวงพ่อเดิมมรณภาพในปี 2494 หลวงปู่นองจึงย้ายมาจำพรราที่วัดวังศรีทอง อ.วังสมบูรณ์ จ.สระแก้ว ตราบถึงปัจจุบัน(สมัยนั้นจังหวัดสระแก้วเป็นเพียงอำเภอหนึ่งของจังหวัดปราจีนบุรี)
หลวงพ่อเดิมถ่ายทอดวิชา “สร้างชนวนรัตนโลหะ”
ในช่วงที่หลวงปู่นองได้กลับมาปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อเดิมนั้น หลวงปู่นองได้รับถ่ายทอดวิชาการเล่นแร่แปรธาตุแขนงหนึ่ง นั่นคือวิชาผสมสร้างชนวนโลหะพิเศษ ที่เรียกว่า “ชนวนรัตนโลหะ” ที่มีความอาถรรพ์สูงและศักสิทธิ์ไม่แพ้ชนวนธาตุอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสูตรการลงอักขระเลขยันต์ การเดินธาตุปลุกเสก และการผสมชนวนรัตนโลหะครบถ้วนตามตำรา
โดยวัตถุมงคลเนื้อรัตนโลหะที่ท่านสร้างออกมาในช่วงปี 2550 – 2552 นั้นผสมชนวนฝาบาตรเดิม ๆ ของหลวงพ่อเดิมหลายแผ่นที่ท่านเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี มีอานุภาพเสริมดวงชะตา เสริมวาสนาบารมี มีโชคลาภร่ำรวย กันและแก้อาถรรพ์ได้อย่างชะงัด
ครูบาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา
ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน และพระเวทวิทยาคมจากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ หลายท่าน
1.หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ ถ่ายทอดพระธรรมวินัย, ศาสตร์และพิธีกรรมต่าง ๆ , วิชาอาคมพื้นฐานในคัมภีร์ทั้ง 5 , วิชาสร้างชนวนรัตนโลหะอันศักดิ์สิทธิ์, การลงทองพระเจ้าสิบทิศ
2.หลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา จ.ลพบุรี ถ่ายทอดวิชาการเดินธาตุต่าง ๆ ,วิชากสิณไฟ, การห้ามลมห้ามฝน, คัมภีร์ตำรับพระฤาษี, คัมภีร์นิมิตเปิดตาที่สาม, คัมภีร์โอมวิติตรี
3.หลวงพ่อโอภาสี (มหาชวน) สำนักสงฆ์โอภาสี บางมด กรุงเทพฯ ถ่ายทอดวิชาวิปัสสนากรรมฐาน, คัมภีร์มูลกัจจายน์
4.พระครูเทวะ พระอาจารย์จอมขมังเวทชาวเขมร
เป็นสหมิกกับหลวงพ่อกวย
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร วัดโฆสิตาราม เป็นสหธรรมิกที่สำคัญของหลวงปู่นอง เพราะคุ้นเคยกันตั้งแต่สมัยเล่าเรียนวิชาอยู่กับหลวงพ่อเดิมมาด้วยกัน ทั้งยังเคยปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกันเพียง 2 รูป เพื่อนำไปบรรจุกรุที่วัดหนองปลาดุก จ.ชัยนาท โดยหลวงพ่อกวยเป็นฝ่ายนิมนต์หลวงปู่นองมาร่วมปลุกเสกพระพิมพ์เพื่อสืบต่ออายุพระศาสนา แสดงว่าหลวงพ่อกวยย่อมเล็งเห็นพลังพระเวทวิทยาคมในตัวของหลวงปู่นองว่ามีความเข้มขลังเพียงใด...
เชี่ยวชาญกสิณไฟ
วิชากสิณไฟนี้หลวงปู่นองมีความชำนาญเป็นพิเศษ ทรงอิทธิคุณทางขับไล่สิ่งอาถรรพ์ชั่วร้าย เสริมสิริมงคล เสริมดวงชะตา นำพาซึ่งโชคลาภ วาสนาบารมี วัตถุมงคลที่ท่านประจุวิชากสิณไฟจนโด่งดังคือ เศียรฤาษีตาไฟ มีทั้งเนื้อโลหะ เนื้อผงว่านสีน้ำตาล – แดง – ขาว – ก้นครก, ตะกรุดตรึงไตรภพ, ตะกรุดพระเจ้าสิบทิศ, ตะกรุดหนังเสือ, ตะกรุดเมตตา – มหานิยม, การลงนะหน้าทอง, การเป่ากระหม่อมหรือลงทองพระเจ้าสิบทิศ อันเป็นวิชาที่หลวงพ่อเดิมใช้อยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ก็มีวิชาเสกแป้งอิทธิเจ, แป้งเสกเทวดา ลงหัวใจพระลักษณ์หน้าทอง, สาลิกาลิ้นทอง
คมวาทะหลวงปู่นอง
“ถ้าจะลง ต้องทำให้เขาครบ ๆ นะ เพราะเขาจะได้เป็นมงคล ไปไหนมีเทพเทวาอุ้มชู ผู้คนรักใคร่เอ็นดูเขาไปทางไหนจะได้ไม่เจ็บ..ไม่จน”
“วัตถุมงคลนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้ศรัพทธาประกอบกัน หากเรามีวัตถุแต่ไม่ศรัทธาใส่ใจ มีแล้ววางไว้บนหิ้งเฉย ๆ ไม่กราบไหว้ไม่ทำความเคารพตามสมควร ก็จะไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ สู้อย่าไปบูชาให้เสียเงินเสียเวลาเลย
เมื่อเรานำวัตถุมงคลเข้าบ้านแล้ว ให้ทำการรับ อย่างน้อยก็ซื้อพวงมาลัย ดอกไม้ มากราบไหว้ ท่องพระคาถาบูชา อาราธนาขอพรจากเขา จะให้ช่วยกิจการเรื่องใดก็อธิษฐานบอกไป เรื่องยากก็กลายเป็นเรื่องง่าย และเป็นมงคลสัมฤทธิ์ผลดีในทุก ๆ อย่าง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น